|
|
|
|
แหล่งที่มาขอผู้เยี่ยมชม
สถิติวันนี้ |
220 คน |
สถิติเมื่อวาน |
158 คน |
สถิติเดือนนี้ สถิติปีนี้ สถิติทั้งหมด |
653 คน 48370 คน 1772314 คน |
เริ่มเมื่อ 2012-11-06 |
| |
|
การทำนาในสภาพฝนแล้งหรือฝนทิ้งช่วง
|
คำแนะนำสำหรับเกษตรกร
- เลื่อนการทำนาปีออกไปจนกว่าจะเริ่มมีฝนตกชุก คือประมาณต้นเดือนสิงหาคม
- ในช่วงสัปดาห์แรกของเดือนสิงหาคม ถ้ามีปริมาณน้ำพอที่จะตกกล้าได้ แนะนำให้ทำนาดำ หรือหากมีน้ำมากพอก็ใช้วิธีหว่านน้ำตมได้เพื่อลดขั้นตอนและช่วงระยะเวลาการทำนา
- ถ้าหากถึงกลางเดือนสิงหาคม ปริมาณน้ำในทุ่งยังไม่เพียงพอที่จะตกกล้า แนะนำให้ทำการหว่านข้าวแห้งหรือหว่านสำรวย
- กรณีที่ต้องการใช้น้ำเพื่อช่วยเหลือการทำนาปีในช่วงฝนทิ้งช่วง ก็จะให้มีการใช้น้ำจากแหล่งน้ำหรือคูคลองที่อยู่ใต้พื้นที่เขื่อนเก็บกักน้ำ โดยทางราชการจะสนับสนุนเครื่องสูบน้ำเพื่อช่วยเหลือเกษตรกร
- สำหรับพื้นที่ดอนที่เสี่ยงต่อการขาดแคลนน้ำในการทำนา ขอให้เกษตรกรงดการปลูกข้าวและหันมาปลูกพืชอายุสั้น เช่น ถั่ว และพืชผักต่าง ๆ แทน
| |
วิธีการแก้ไขปัญหา |
โดยสภาพทั่วไป ฝนจะตกชุกในช่วงเดือนสิงหาคมทุกปี หากในพื้นที่นามีน้ำมากพอเพียงก็ขอให้เกษตรกรทำการตกกล้า เพื่อจะได้ทำการปักดำหรือทำนาหว่านน้ำตม ถ้าเกิดสภาพฝนทิ้งช่วงเป็นระยะเวลายาวนานไปถึงช่วงเดือนสิงหาคม หากเกษตรกรได้ตกกล้าไว้ตั้งแต่ช่วงปลายเดือนกรกฎาคม อายุกล้าจะแก่และย่างปล้องแล้ว ในการปักดำให้ใช้จำนวนต้นต่อจับให้มากขึ้น และปักดำให้ถี่เพราะกล้าเหล่านี้จะแตกกอน้อย หรือใช้วิธีการปลูกข้าวโดยการหว่านข้าวแห้ง เพื่อลดขั้นตอนในการตกกล้าและไม่ชะงักในการเจริญเติบโตเก็บเกี่ยวได้ทันฤดูกาล |
การปลูกข้าวโดยการหว่านข้าวแห้งหรือหว่านสำรวย |
การปลูกโดยใช้เมล็ดแห้งที่ยังไม่ได้เพาะให้งอก ทำได้ดังนี้
- ทำการไถดะตากดินไว้เพื่อทำลายวัชพืช จึงทำการไถแปรย่อยดินให้มีขนาดพอเหมาะ แล้วปรับดินให้เรียบสม่ำเสมอ ได้ระดับ แล้วจึงหว่านเมล็ดข้าวแห้ง
- การหว่าน ใช้เมล็ดพันธุ์ข้าวที่ได้เตรียมไว้หว่านไร่ละ 15 กก. แล้วคราดกลบ
- เมล็ดพันธุ์ข้าว ควรใช้เมล็ดพันธุ์ข้าวที่ไม่ไวแสงปลูก หากใช้ข้าวไวแสงเวลาจะไม่ทัน ได้ผลผลิตต่ำ
- การใส่ปุ๋ย ข้าวที่ปลูกในช่วงฝนแล้ง เป็นการปลูกข้าวล่าช้ากว่าฤดูกาลมาก จึงมีความจำเป็นที่จะต้องใส่ปุ๋ยช่วยเร่งให้ต้นข้าวมีการเจริญเติบโตได้เต็มที่ จึงจะทำให้ได้ผลผลิตสูงใกล้เคียงกับการทำนาดำตามฤดูกาลปกติ
4.1 การใส่ปุ๋ยครั้งที่ 1 ในพื้นที่ดินเหนียวให้ใส่ปุ๋ยสูตร 16-20-0, 18-22-0 หรือ 20-20-0 สูตรใดสูตรหนึ่งในอัตราไร่ละ 25 กก. ในดินทรายให้ใส่ปุ๋ยสูตร 16-16-8 ในอัตราไร่ ละ 25 กก. โดยใส่ปุ๋ยหลังจากข้าวงอกแล้ว 5-6 วัน 4.2 การใส่ปุ๋ยครั้งที่ 2 ให้ใส่ปุ๋ยหลังจากข้าวงอกแล้ว 40-45 วัน โดยใช้ปุ๋ยแอมโมเนียมซัลเฟต หรือแอมฮมเนียมคลอไรด์ ไร่ละ 25-30 กก. หรือปุ๋ยยูเรีย ไร่ละ 10-15 กก. ในการใส่ปุ๋ยควรจะคำนึงถึงว่าดินจะต้องเปียกแฉะหรือมีน้ำขังไม่ควรเกิน 20 เซ็นติเมตร ถ้าหากดินแห้งหรือระดับน้ำมาก กว่านี้ ให้เลื่อนการใส่ปุ๋ยออกไปมิฉะนั้นจะทำให้การใช้ปุ๋ยไม่มีประสิทธิภาพ เกิดการสูญเสียปุ๋ย ทำให้ต้นข้าวได้รับปุ๋ย ไม่พอเพียง ผลผลิตจะต่ำ
- การดูแลรักษา
5.1 ควรปรับปรุงคันนาให้ดี อุดรูรั่วของน้ำ 5.2 หมั่นตรวจดูนาอย่างสม่ำเสมอ หากพบศัตรูข้าวให้รีบกำจัด 5.3 ถ้าหากพบว่าข้าวขึ้นไม่สม่ำเสมอ ควรถอนต้นข้าวที่แตกกอไปซ่อมแซม |
สรุป |
ในที่ฝนแล้งหรือฝนทิ้งช่วงเป็นประจำ ให้เปลี่ยนวิธีปลูกข้าว จากการปักดำมาปลูกโดยการหว่านข้าวแห้งไม่ควรรอให้ฝนตก ได้น้ำพอเพียงในการตกกล้าและปักดำ เพราะจะล่วงเวลามากไปทำให้ข้าวที่ปักดำไม่เท่าไรก็จะตั้งท้องและออกดอก ทำให้ได้ผลผลิตต่ำอย่างไรก็ตาม หากฝนล่ามาจนถึงปลายเดือนสิงหาคมชนต้นกันยายนจะทำการหว่านแห้งก็จะไม่ค่อยได้ผล เพราะฤดูกาลล่ามากฝนจะหมดควรงดการปลูกข้าว หันไปปลูกพืชอายุสั้นแทน เช่น ถั่วและพืชผักต่าง ๆ |
|
อ้างอิง : http://www.doae.go.th/library/html/detail/ricefarm/ricefarm.htm | |
|